What 's New
   
 
    ยกฟ้อง 'ประชัย' กับพี่น้อง คดีไซฟ่อน ศาลชึ้แค่การบริหารธุรกิจ
         
ยกฟ้อง 'ประชัย - ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์' คดีไซฟ่อนเงินจ่ายเงินกว่า 900 ล้านเช่าตึกตัวเอง ศาลชี้เป็นการบริหารงานในเชิงธุรกิจ ไม่สร้างความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้น 'ประชัย' โวศาลให้ความเป็นธรรมหลังถูกระบอบทักษิณรังแก ส่วนคดีปั่นหุ้นนัดฟังคำตัดสิน 3 ธันวาคมนี้
    ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 814 ศาลอาญา ถนน รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีดำหมายเลขที่ อ.3097/2549 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด มหาชน (บริษัทบริษัทอุตสหกรรมปิโตรเคมีคัลไทย จำกัด(มหาชน) )หรือ ทีพีไอ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายประทีป เลี่ยวไพรัตน์ อดีตกรรมการ บมจ.ทีพีไอ , นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ อดีตกรรมการ บมจ.ทีพีไอ , นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีพีไอ,นาย ประหยัด เลี่ยวไพรัตน์ อดีตกรรมการ บมจ.ทีพีไอ, น.ส. มาลินี เลี่ยวไพรัตน์ อดีตกรรมการ บมจ.ทีพีไอ และบริษัทพรชัยวิสาหกิจ จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-6 กระทำผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 311,313และ315 ฐานร่วมกันกระทำการใดเพื่อช่วยเหลือและให้ความสะดวกกรรมการบริษัททำให้เกิดความเสียหายด้วยการยักยอกทรัพย์ (ไซฟ่อนเงิน) ด้วยการทำสัญญาเช่าตึกทีพีไอ ที่กลุ่มผู้ให้เช่าและผู้เช่าเป็นกลุ่มเดียวกัน และมีการชำระค่าเช่าล่วงหน้า 90 ปีตามสัญญาเช่ารวม 4 ฉบับ เป็นเงินมูลค่า 956,842,206 ล้านบาท อันเป็นการชำระค่าเช่าล่วงหน้าเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด

    ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 31 ส.ค.49 ระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ก.พ.38 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 27 ก.ค.42 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ได้ร่วมกันกระทำการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหาย บมจ.ทีพีไอ โดยจำเลยที่ 1- 5 ซึ่งเป็นผู้บริหาร บมจ.ทีพีไอ ทำสัญญาเช่าพื้นที่อาคารทีพีไอ ซึ่งเป็นของ บริษัทพรชัยวิสาหกิจ จำกัด รวม 4 ฉบับ ตั้งแต่เดือน ก.พ.38 – พ.ค.42 สัญญาฉบับแรกทำเมื่อวันที่ 1 ก.พ.38 ทำสัญญาเช่าอาคารทีพีไอชั้น 7-9 ส่วนจำเลยที่ 3 และ 4 ทำสัญญาเช่ามีกำหนด 3 ปี สัญญาฉบับที่ 2 ทำเมื่อวันที่ 1 พ.ค.39 เช่าอาคารทีพีไอ ชั้นจี 2, 7-11, 13, 16, 26 และ 29 โดยมีการจ่ายเงินล่วงหน้าเป็นเวลา 90 ปี ส่วนสัญญาฉบับที่ 3 ทำเมื่อวันที่ 1 ก.ค.40 ขอเช่าอาคารทีพีไอชั้น 11, 20 และ 30-35 ชำระเงินล่วงหน้า 90 ปี สัญญาเช่าฉบับที่สี่ ในวันที่ 1 พ.ค.42 เพื่อเช่าพื้นที่เดิมอีก 90 ปี ซึ่งจะครบกำหนดเช่าในปี 2532 โดยรวมพื้นที่ให้เช่าตามสัญญาแล้วประมาณ 10,000 ตารางเมตรเศษ ซึ่งมีการจ่ายเงินล่วงหน้า 877,303,888 บาท และเงินกินเปล่าให้ บจก.พรชัยฯ อีก จำนวน 79,538,318 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 956,842,206 บาท ทั้งนี้ การทำสัญญาเช่าดังกล่าว เป็นการทำสัญญาระหว่างนิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) มีกรรมการและผู้ถือหุ้นอื่นร่วมดำเนินกิจการอยู่ด้วยโดยจำเลยที่ 1 - 4 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจใน บมจ.ทีพีไอ ลงนามจ่ายเงินล่วงหน้าให้ บจก.พรชัย ฯ ที่มีคนในตระกูลจำเลยร่วมเป็นกรรมการผู้มีอำนาจเช่นกัน ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการทำให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นของ บมจ.ทีพีไอต้องเสียผลประโยชน์ โดยมีการเอื้อประโยชน์ให้ บ.พรชัยฯ ได้รับประโยชน์แทนซึ่งส่งผลให้บมจ.ทีพีไอประสบปัญหาทางด้านการเงินและขาดสภาพคล่อง จึงขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บหลักทรัพย์ ฯ พ.ศ. 2535 มาตรา 311, 313, 315 ประมวลกฎหมายอาญา ม.83

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลยนำสืบหักล้างกันแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1-3 ร่วมกันทุจริตตามฟ้องหรือไม่และจำเลยที่4-6 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดหรือไม่ ซึ่งได้ความจาการเบิกความ นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา หนึ่งในคณะผู้บริหารแผนคนใหม่ของกระทรวงการคลัง พยานโจทก์ ว่า บมจ.ทีพีไอ เช่าอาคารทีพีไอ ทาวเวอร์ ของจำเลยที่ 6 โดยจ่ายเงินมัดจำและค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเวลา 90 ปี รวมทั้งการจ่ายเงินกินเปล่าไม่ต่ำกว่า 70,000,000 บาท ซึ่ง บมจ.ทีพีไอต้องจ่ายเงินให้จำเลยที่ 6 ทั้งสิ้น 956,842,206 บาท ซึ่งจำเลยที่ 6 เป็นบริษัทในเครือ บมจ.ทีพีไอ โดย บมจ.ทีพีไอ ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่ร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมด ส่วนหุ้นที่เหลือคนในตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ เป็นผู้ถือหุ้น แต่พบว่า งบการเงินของ บมจ.ทีพีไอ ในปี 2538 มีการกู้ยืมเงินเพื่อนำมาประกอบกิจการ แต่ในปี 2540 ก่อนทีพีไอจะประกาศพักชำระหนี้ 1 เดือน บมจ.ทีพีไอ ได้นำเงินไปจ่ายค่าเช่าอาคารล่วงหน้าเป็นเวลา 90 ปีทั้งที่ บมจ.ทีพีไอตกอยู่ภาวะขาดสภาพคล่อง จนในที่สุดต้องพักชำระหนี้ โดยเสมือนว่าพวกจำเลยมีเจตนายักย้ายเงิน จากกระเป๋าซ้ายสู่กระเป๋าขวาโดยไม่ได้ประโยชน์แก่ทีพีไอ

    แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 311 และ 313 ต้องกระทำการหรือไม่กระทำการ โดยเจตนาทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลนั้น ซึ่งการที่จำเลยที่ 1-3 ทำสัญญาเช่าตึกสำนักงานกับจำเลยที่ 6 เหตุเพราะว่าบมจ.ทีพีไอฯและบริษัทในเครือ ต้องการเช่าอาคารเพื่อเป็นสำนักงานใหญ่ โดยขณะเช่าตึกบมจ.ทีพีไอฯยังไม่มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ดังนั้นการที่มีการจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าให้จำเลยที่ 6 จึงเป็นเรื่องของการบริหารในเชิงธุรกิจที่เกื้อกูลกันระหว่างกลุ่มบริษัทในเครือเดียวกันจึงไม่เป็นพิรุธ เพราะจำเลยที่ 1 -3 เป็นทั้งกรรมการและผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทด้วยความรู้ความสามารถดังนั้นย่อมใช้ดุลพินิจดังกล่าวซึ่งถือเป็นธรรมดาของการบริหารงาน

    ส่วนสัญญาเช่าตึกนั้นพบว่าได้ทำขึ้นภายหลังรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และเป็นสัญญาที่ทำขึ้นต่อจากจากสัญญาเช่าตึกที่ครบกำหนดแล้ว และการทำสัญญาเช่าตึกกำหนดระยะเวลา 90 ปี ได้เริ่มพิจารณาก่อนการสร้างอาคาร ทีพีไอ โดยมีการตกลงกันก่อนที่ บริษัททีพีไอฯ จะแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเมื่อมีการทำสัญญาแล้วยังได้เปิดเผลข้อมูลการเช่าตึก ไว้ในหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่แจ้งให้แก่ประชาชนทั่วไปทราบ รวมทั้งเปิดเผยข้อมูลยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฯและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตามกฎหมายด้วย จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1-3 ทำสัญญาเช่าตึกโดยสุจริตและเปิดเผยต่อสาธารณะชน ซึ่งสัญญาดังกล่าว เป็นในลักษณะต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา มีผลบังคับได้ระหว่างคู่สัญญาทางกฎหมายโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นโมฆะ นอกจากนี้การเช่านั้นถือได้ว่าเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจโดยทั่วไปที่ใช้ในการบริหารจัดการเพื่อให้บริษัทมีความมั่นคง ขณะที่อาคารทีพีไอ มีความมั่นคงแข็งแรงอยู่ได้เป็น 100 ปี และตั้งแต่เริ่มเช่าตึกก็ไม่มีผู้ถือหุ้นหรือบุคคลใดทักท้วงว่าสัญญาไม่ชอบอย่างไร สัญญาดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ พยานโจทก์และพยานโจทก์ร่วมไม่เพียงพอรับฟังได้ ว่า จำเลยรับเงินค่าเช่าล่วงหน้าและเงินกินเปล่าไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน พยานหลักฐานไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง

    ภายหลังนายประชัย กล่าวให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่า สมัยก่อนถูกทางรัฐบาลทักษิณรังแกโดยไม่มีขื่อมีแป แต่วันนี้ถือว่าได้รับความเป็นธรรมจากศาล

    ส่วนนายบุญอิน ส่งเสริมสกุล ที่ปรึกษากฎหมายของนายประชัย กล่าวว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีนี้ เป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ถูกต้องทุกประการ

    ด้านนายสุทัศน์ เงินหมื่น ทนายความของนายประชัย กล่าวว่า วันนี้ถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในการแสวงความเป็นธรรมของนายประชัย ซึ่งป็นคนเก่ง มีความสามารถ แต่ที่ผ่านมานายประชัยถูกกลั่นแกล้งจากผู้ที่อยู่ขั้วอำนาจเก่า ซึ่งนายประชัยได้ยืนหยัดต่อสู้จนได้รับความเป็นธรรม สำหรับเรื่องฟ้องกลับคงต้องพิจารณาอีกทีหนึ่ง

    นอกจากนี้นายสุทัศน์ ยังกล่าวถึงคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ยื่นฟ้อง บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) โดยนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายชัยณรงค์ แต้ไพสิฐพงษ์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ , นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอ ฯ , บริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด โดย นายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บจก.สเติร์น ฯ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลักทรัพย์ เผยแพร่ข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหลักทรัพย์ก่อนวันที่หนังสือชี้ชวน จะมีผลบังคับใช้ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง (ปั่นหุ้น) และร่วมกันกระทำการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้รับผิดชอบในการดำเนินกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ม.77 และ 239 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ว่าคดีนี้ศาลนัดตัดสินใน วันที่3 ธ.ค.นี้ โดยคดีนี้ฝ่ายจำเลยได้นำสืบพยานจำนวนมากเพื่อต่อสู้คดีอย่างไรก็ดีมูลเหตุคดีปั่นหุ้นนั้นเป็นคนล่ะกรณีกับคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องในวันนี้ดังนั้นผลของการตัดสินคดีปั่นหุ้นจะออกมาเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

 [ แหล่งข่าว:: หนังสือพิมพมติชน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 15 เดือนพฤศจิกายน พศ. 2550]
 

                                                        คลิกที่นี่เพื่อกลับสู่หน้าข่าวหลัก >>